เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้ฟังธรรม ธรรมะนะ เวลาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
การฟังธรรมนี้แสนยาก
คำว่าแสนยากเพราะสมัยพุทธกาลมันไม่มีสื่อ มันต้องฟังจากปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับปากของผู้ที่รู้จริง ฉะนั้น เวลาสื่อไป ในปาติโมกข์จะมีมากเลย ถ้าผู้ใดเห็นผิด ภิกษุกล่าวตู่พุทธพจน์ ตัดช่วงหรือแต่งเติม ภิกษุได้ตักเตือนถึง ๓ หน ทั้งญัตติแล้วสวดถึง ๓ หน ภิกษุนั้นไม่เปลี่ยนความคิด ไม่แก้ไขความคิดของตัว เป็นอาบัติสังฆาทิเสส นี่แล้วผู้ที่ไปคบภิกษุที่โดนอาบัติจะเป็นปาจิตตีย์
นี่ฟังธรรมนี้แสนยาก แสนยากเพราะอะไร? แสนยากเพราะใจของผู้ที่เป็นธรรมมันหายาก สิ่งที่เป็นการกระทำมันมีทั่วไป แต่สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงมันมาจากไหน? ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำว่าฟังธรรมแสนยากๆ คือฟังธรรมที่เป็นสัจธรรม ไม่ใช่ฟังนิทาน นิทานนี่คำเล่าเรื่อง ที่ไหนมันก็มีทั้งนั้นแหละ เพราะความเล่าเรื่องมันไม่เป็นความจริง
แต่ถ้าเป็นความจริงนะ นี่สัจธรรมนั้นออกมาจากหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถึงวางธรรมวินัยไว้เป็นศาสดาของเรา แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงอันนั้น ธรรมที่เป็นศาสดา เราเคารพศาสดาไหม? ใจเราลงกับธรรมไหม? ถ้าลงธรรมเราจะยอมการกระทำอย่างนั้น เห็นไหม นี่ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราจะไม่เข้าใจสัจจะความจริง
สัจจะความจริง มนุษย์เกิดมานี่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ คนเกิดมาเขาเกิดมาจากพ่อจากแม่ทั้งนั้นแหละ แต่ในศาสนาบอกคนเกิดมาจากกรรม การกระทำของจิตมันทำให้จิตนี้ขับเคลื่อนไป กรรมอันนี้พาเกิดพาตาย แต่วิทยาศาสตร์บอกเกิดจากพ่อจากแม่ แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเกิดจากกรรม
นี่มนุษยสมบัติ เห็นไหม เวลาทำพวกอริยทรัพย์ การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชาติปิ ทุกขา ความทุกข์เกิดจากการเกิด มีการเกิด มีสถานะ มีความรับรู้ มีต่างๆ เพราะเราเกิดเราถึงรับรู้สถานะต่างๆ เราต้องรับทุกข์ รับกรรมไว้ทุกๆ อย่างเลย เพราะมีการเกิด
ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
แต่ในธรรมของฆราวาส เห็นไหม อริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์ มนุษยสมบัติคือต้นทุนของเรา พอเป็นมนุษยสมบัติขึ้นมา มนุษยสมบัติทำผลประโยชน์ได้ทุกๆ อย่าง จะทำดีเลิศจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
มนุษย์นี่เป็นมนุษยสมบัติขึ้นมา ได้มาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ได้เป็นอริยเจ้า ได้เป็นถึงที่สุดแห่งทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นศาสดาของเทว มนุสสานัง ได้เป็นครูเป็นอาจารย์ของพรหม ของเทวดา มนุษย์นี่เป็นได้ทุกๆ อย่างเลยนะ
มนุษยสมบัติ พอเราเกิดเป็นมนุษยสมบัติ สัญชาตญาณ เห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษยสมบัติ มนุษยสมบัติเกิดขึ้นมาแล้วไร้เดียงสา เด็กไร้เดียงสามาก เด็กมันมีบุญกุศล เด็กเกิดขึ้นมาแล้วมีคุณงามความดี เราดูแลเด็ก ดูสิเราเป็นนายช่าง เราจะหากาวมาทำการก่อสร้าง เราจะเอากาวมีคุณภาพดีขนาดไหน ถ้ากาวมีคุณภาพดี การติดเดี๋ยวนี้บ้านเขาติดกันด้วยกาว ไม่ต้องทำอะไร เมื่อก่อนนี่เป็นความมหัศจรรย์นะ บ้านเรือนไทยใช้ลิ่ม ใช้เดือย มันจะไม่มีตะปูแม้แต่ตัวเดียว แต่ปัจจุบันนี้เขาใช้กาวติด
นี่ความคิดของเรา กาวมีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ คนเราจิตเกิดมามีคุณภาพหรือไม่มีคุณภาพ ถ้ามีคุณภาพดี ติดแล้วมันเอาไม่ออกนะ นี่เด็กขึ้นมาต้องมีความคิดนะ มีการศึกษาเล่าเรียน ต้องมีสิ่งดีสิ่งชั่ว สิ่งดีสิ่งชั่วนี้มันเป็นกาว ติดมันเข้าไป ติดมันเข้าไป เห็นไหม พอเราก็เมาสิ เมาความคิดเรา เรายึดมั่นความคิด เรายึดความทุกข์หมด อันนี้เป็นเพราะอะไรล่ะ?
นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมไว้ เราถึงจะเห็นสัจธรรมความจริงไง เพราะเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นโดยธรรมชาติ มันมีความคิด ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พระอรหันต์ยังมีความคิดเลย พระอรหันต์ เห็นไหม สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ สื่อสารกันด้วยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕
ดูสิพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์เราที่แบบว่าเป็นอัมพฤกษ์พูดไม่ได้ ท่านส่งสายตานะ คนที่อุปัฏฐากอยู่จะรู้เลยว่าท่านต้องการอะไร ท่านส่งสายตา ท่านส่งความหมายกัน เห็นไหม สิ่งต่างๆ นี่ไงพระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้วมันก็มีความคิด ความคิดกับจิตมันเป็นกาวอันหนึ่ง กาวอันหนึ่งมันก็ติดแน่นไปกับจิตของเราตลอดไป
นี่ไงเมา! เมาในความคิด เมาในความรู้สึก เมาต่างๆ เลย อวิชชาความไม่รู้ ไม่รู้ในสัจธรรม ไม่รู้อะไรเลย เพราะเราไม่รู้สัจธรรมความจริง แต่เราเอาสิ่งที่ไม่รู้ไปศึกษาสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม เห็นไหม
นี่การฟังธรรม ถ้าการฟังธรรมจากใจของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมขึ้นมา สัจธรรมนี่ในธรรมก็บอกไว้ ไม่ให้เชื่อตัวบุคคล ให้เชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด
แต่ตัวบุคคลถ้าเป็นกิเลสเชื่อถือไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้เพราะอารมณ์ความรู้สึกของคนมันแปรปรวนตลอดเวลา แต่สิ่งที่เป็นสัจธรรม ธรรมไม่ใช่อารมณ์ อารมณ์คือความคิด อารมณ์คือกาว เห็นไหม เมาตัวเอง เมาความคิด เมาสัจธรรม เมาไปหมดเลย แล้วก็ว่าธรรมเป็นเราๆ มันไม่เป็นความจริงซักอย่างหนึ่ง นี่แล้วเวลาจะแกะออกก็แกะออกไม่ได้
แต่ของเรา เห็นไหม เวลาเด็กมันศึกษา ศึกษาแล้วต้องมีปัญญา ต้องมีความฉลาด แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นว่าคนนี้เป็นคนดี คนนี้เป็นคนดี ความคิดกับจิตติดกันแน่นเลย แล้วพอมาปฏิบัติจะลอกมันออก จะเอากาวออก
นี่ไงการเกิดเป็นมนุษย์มันมีความคิด ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นกิเลสแล้วเขามีความคิด แต่ความคิดนี่เป็นเศษส่วน เป็นเศษทิ้ง สอุปาทิเสสนิพพาน เศษทิ้ง ความคิดและธาตุ ๔ ร่างกายกับความคิด เศษทิ้ง แล้วธรรมล่ะ? ธรรมอันนี้มันถึงไม่ใช่นิทาน ธรรมอันนี้ นี่ไงเวลาสัจธรรมๆ มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมที่มีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วนี่ แต่ยังไม่ได้สถิตในหัวใจของเรา
ดูเราสิ ปุถุชนมีความรู้อยากจะพ้นจากทุกข์ เราก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยึดมั่นถือมั่นนี่เอากาวไปติดมา กาวติดมา ความคิดกับจิตมันไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ติดเป็นอันเดียวกัน แล้วมันจะเป็นสัจธรรมขึ้นมาได้อย่างไร?
มันไม่เป็นสัจธรรม เห็นไหม แล้วบอกว่า จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด แล้วอันนั้นมันธรรมอะไรล่ะ? มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด ธรรมก็เป็นธรรมชาติ ธรรมชาตินี่การเกิดก็เป็นธรรมชาติ ความโกรธก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความโกรธมีแรงกระตุ้นมันก็โกรธขึ้นมา แล้วมันหายไปเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ถ้าสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ เราก็เป็นพระอรหันต์กันหมดแล้ว
เขาว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมะเหนือธรรมชาติ!
รู้สัจจะความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ รู้สัจจะความเป็นจริงแล้ววางไว้ตามความเป็นจริง ถ้าเราไม่รู้ความเป็นจริง เห็นไหม เรามีอวิชชา เรามีกาวเหนียวติดอยู่ กาวของเรานี่กาวที่แน่นติดอยู่กับใจ แล้วเราจะลอกออกมันอย่างไร?
นี่เราก็รู้แล้ว เราก็เป็นแล้ว เราก็รู้จริง ทำจริง เราก็รู้หมดแต่เราลอกไม่ได้ เห็นไหม มันไม่มีสัจธรรม มันไม่มีความจริงเกิดขึ้นมาในหัวใจ ถ้ามีความจริงเกิดขึ้นมาในหัวใจ นี่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันก็ต้องเอาสิ่งที่มีอยู่มาปฏิบัติใช่ไหม?
คนเรานี่ เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติจริงตามสมมุติ.. คำว่าสมมุติ เราบอกสมมุติคือไม่มีอะไรเลย สมมุติคือว่างเปล่า แต่ความจริงของพระพุทธเจ้าสมมุติมีนะ สมมุตินี่ดูสิไฟเขียว ไฟแดงเป็นสมมุติไหม? แล้วไปเชื่อมันทำไม ทำไมไม่ฝ่ามันไป
นี่คือสมมุติอันหนึ่งใช่ไหม? มันมีจริงไหม? มันมีจริง แล้วมันมีชั่วคราวไหม? มันมีชั่วคราว การเกิดก็เหมือนกัน มีจริงไหม? จิตมีจริงไหม? ทุกอย่างมีจริงหมด สมมุติคือจริงตามสมมุติ จริงตามสมมุติถึงต้องเอาจากสมมุติตัวนี้ เอามาแก้ไข เอามาดัดแปลงขึ้นมา จนมันถึงวิมุตติได้
นี่ก็เหมือนกัน การเกิดขึ้นมาเรามีความคิด เรามีกิเลส.. เรามีกิเลสเราก็ต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ เริ่มต้นจากทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม นี่เราจะลอกกาวนี้ออกมาได้อย่างไร? นี่การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐมาก เพราะการเกิดเป็นมนุษย์แล้วเราพบพุทธศาสนา เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ โดยธรรมชาติของมัน โดยธรรมของมัน มันบีบคั้นเราโดยที่ไม่รู้ตัว
ดูสิเราอยู่ในครรภ์ของมารดา ๙ เดือน เราต้องกินอาหารทางสายสะดือ เวลาเราเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องมีอาหารของเรา อาหารของเรานะ นี่เวลาทำบุญขึ้นมา บุญกิริยาวัตถุ แค่นั่งสมาธินี่บุญกิริยาวัตถุ เพราะอะไร? เพราะทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ จะทำอะไรก็ได้ จะนอนตีแปลงอย่างไรก็ได้ เราเสียสละแล้วเรามานั่งสมาธิ นี่บุญกิริยาวัตถุ
เราบอกว่าเราเกิดมาเป็นคนจน เกิดมาเป็นคนทุกข์คนยาก เราไม่มีโอกาสทำบุญ.. นั่งสมาธินี่แหละ เราเอาตัวเราทั้งตัวเราเลย กิริยาไง คือกิริยาการเคลื่อนไหว บุญกิริยาวัตถุ ข้าวปลาอาหารอันนี้มันอามิส สิ่งที่เป็นสมบัติมันเป็นวัตถุ แต่กิริยามารยาท เห็นไหม ดูสิบุญกุศล แม้แต่เราเดินบนสะพาน เราหลีกทางให้คนๆ หนึ่งนั่นเป็นบุญแล้วนะ เราให้ทางเขา เราก็เป็นบุญแล้ว บุญกุศลมันเกิดขึ้นมาได้ ถ้าคนฉลาดมันเป็นไปได้หมดแหละ
บุญนี่ กิริยาวัตถุคือกิริยามารยาทของเรา เราหลีกให้เขา เราเปิดทางให้เขา แต่ถ้าเป็นทางโลก เห็นไหม โอ๋ย.. เราเสียเปรียบเขา เรายอมจำนนเขา.. ไม่ใช่ เราชนะตัวเราเอง แพ้เป็นพระ ชนะเป็นพาล เราชนะตัวเองเราเป็นพระ เป็นพระ เป็นผู้เสียสละ เป็นพระ เป็นผู้ให้ พระเป็นผู้ประเสริฐไง เราเป็นคนประเสริฐกว่า เราเป็นคนคุมเกมนะ เราคุมหัวใจของเราใช่ไหม? เราหลีกทางให้เขา เห็นไหม เราจะไม่เข้าไปปะทะกับเขา
สิ่งที่ปะทะกับเขาคือโลกไง นั่นคือสมมุติทั้งนั้นแหละ เกิดมาก็เป็นสมมุติ การปะทะกันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง ขณะที่ปะทะกัน เจอกันนั่นเป็นสมมุติอันหนึ่ง พอมันผ่านอันนั้นไปสมมุติก็ไม่มีแล้ว
นี่จริงตามสมมุติ จะบอกว่าจริงตามสมมุติคือจิตเรามีจริง กิเลสมีจริง ทุกอย่างมันมีจริง เราต้องเผชิญหน้ากับความจริง อริยสัจ เห็นไหม ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.. สัจธรรม ทุกข์มันอยู่ไหน? ทุกคนบ่นว่าทุกข์ๆ ทุกข์นี้เป็นผล เป็นวิบากนะ นี่เวลาเราร้องไห้เสียใจ ความร้องไห้เสียใจนี้มันมาจากไหน? มาจากข้อมูลใช่ไหมว่าเราพลัดพรากจากอะไร? สิ่งใดเสียหายไป สิ่งนั้นคือเหตุให้เกิดทุกข์
พระพุทธเจ้าบอก ทุกข์ควรกำหนด
ทุกข์ควรกำหนดคือสภาวะ นี่วิบาก ผลของมันเราควรกำหนด ผลนี้มาจากไหน? ผลนี้มาจากไหน? สาวเข้าไปหาเหตุมัน แล้วไปดับที่เหตุนั้น ถ้าทุกข์ๆๆ ทุกข์เพราะน้ำตาไหลไง นี่มันเป็นวิบาก มันเป็นผลที่มันเกิดขึ้นแล้ว แล้วเราเข้าใจว่าผลที่เกิดขึ้นแล้วนี้เป็นทุกข์ เห็นไหม เพราะเราไม่เข้าใจ
นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดมาก ละเอียดจนเราไม่ทัน แต่เรานี่ไปเอา เหมือนกับว่าเขามีการทุจริตกัน แล้วเขาเคลียร์ เขาจัดการเรียบร้อยแล้ว แล้วเราบอกเราทำได้ เรารู้ เราทำได้.. ไม่ได้! เพราะเราไม่รู้ทันการทุจริตอันนั้น เราไม่ได้เข้าไปเห็นการฉ้อโกงอันนั้น เราไม่ได้เข้าไปจับต้องอันนั้น เราไม่ได้เข้าไปเคลียร์ผลงานอันนั้น เราไม่รู้หรอก เรารู้แต่เขาทำแล้วเขาเอาเป็นเอกสารมาให้เราดู
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น แต่เราเคยทำไหม? เราทำได้ไหม? เราทำไม่ได้หรอก เราทำไม่เป็นความจริงซักอันหนึ่ง เห็นไหม นี่การเกิด ชาติปิ ทุกขา เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วต้นทุนอันนี้สำคัญมาก เรามีการศึกษา มีหน้าที่การงาน เราก็ต้องทำของเราไป
ทุกข์นะ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แต่ทุกข์เป็นวิบาก แม้แต่ผลที่กระทบขึ้นมาเป็นทุกข์ มันก็เป็นผลเกิดมาจากการกระทบกระเทือนกัน เกิดมาเป็นมนุษย์ก็มาจากกรรม นี่เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นวิบากอันหนึ่ง นี้เกิดเป็นมนุษย์เป็นวิบากอันหนึ่ง แต่มันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีธรรมชาติของความคิด มีธรรมชาติของสภาวะที่มันเกิดขึ้น ว่าสภาวธรรมที่เป็นปัจจุบัน
ไม่ใช่หรอก สภาวธรรมที่เป็นปัจจุบัน จะเร็วขนาดไหนมันไม่ทันหรอก ไม่ทันสภาวะ นี่สันตติ ความเร็วของจิต ถ้าจิตไม่สงบเข้ามาก่อน ไม่เห็นสัจจะความจริงนะ เข้าไม่ถึงเนื้ออริยสัจหรอก เข้าไม่ถึงสัจจะความจริง มันเป็นนิทานทั้งนั้นแหละ
นิทาน เห็นไหม มันมีสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาของคนมันมีระดับชั้น มันมีความละเอียด ศาสนานี้ลึกซึ้งมาก แต่พวกเรามันหยาบ ไปเอาสิ่งที่พอเป็นเงาๆ แล้วก็มาอวดรู้ อวดเห็นกัน แล้วมันก็เอากันไปไม่รอด ศาสนาเลยกลายเป็นศาสนาดาษๆ ไป เห็นไหม เวลาหลวงตา เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด
ศาสนาที่ประเสริฐที่สุดคือศาสนาพุทธ
พุทธศาสนาเพราะอะไร? เพราะองค์ศาสดาของเรา พระพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ในลัทธิศาสนาอื่นไม่มี! ไม่มี! อ้างตัวว่าเป็นศาสดา ถามธรรมะตอบไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เห็นไหม ไม่รู้เรื่องเพราะอะไร? เพราะพูดเป็นนิทานไง พูดว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ
ธรรมชาตินี่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แต่วิทยาศาสตร์แก้เกิดแก้ตายไม่ได้ แต่สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก้เกิดแก้ตายได้ พอไปเห็นเผชิญหน้ากับจิตเดิมแท้นะ มันจะอึ้งไปเลย ไอ้ปฏิสนธิจิต ไอ้ตัวเกิดตัวตาย ไอ้ที่ว่าเกิดจากพ่อจากแม่นั่นล่ะ ไอ้พูดคำนั่นล่ะ
ถ้าเกิดจากพ่อจากแม่ ใครเป็นพ่อแม่ของเทวดา? ใครเป็นพ่อแม่ของพรหม? พ่อแม่ของพรหม ใครไปเกิดเป็นพรหมพ่อแม่มันอยู่ที่ไหน? ไปเกิดเป็นเทวดาพ่อแม่มันอยู่ที่ไหน? ไปเกิดในโอปปาติกะมันเกิดอย่างไร? นี่ไปเห็นจิตเดิมแท้เพราะอะไร? เพราะจิตนี้มันมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดในนรกอเวจี แล้วพ่อแม่ของที่เกิดนรกอเวจีมันมาจากไหน?
เราว่าเกิดเป็นมนุษย์เราเกิดจากพ่อแม่ แต่เราไม่บอกว่าเกิดจากกรรม แต่พอเข้าไปเผชิญ ไปเจอความจริงขึ้นมามันจะสะเทือนหัวใจมาก มันจะอึ้งไปเลยว่านี่ตัวเราอยู่ที่นี่ แล้วแก้ไขกันที่นี่ ไอ้กาวที่มันติดพันอยู่ที่นี่ จะลอกมันทิ้ง จะลอกมันทิ้ง จะลอกความยึดมั่นถือมั่น ลอกสังโยชน์ที่มันติดอยู่ที่นี่ไง นี่อันนี้จะเป็นสัจจะความจริงนะ
สมบัติอย่างนี้เกิดจากมนุษย์ เกิดจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะเน้นตรงนี้ให้เห็นคุณค่าของชีวิตไง คุณค่าของการเกิดนี่แหละ คุณค่าของการเกิดมาเป็นเรานี่แหละมีค่าที่สุด สิ่งอื่นตามมาเพราะมีเรา มีเราแล้วถึงจะมีทุกอย่าง มีสมบัติพัสถาน มีทุกอย่างมันมาจากเราทั้งนั้นนะ แล้วเราก็ไปตื่นกันที่สิ่งที่จะเกิดขึ้นมาจากเรา แต่พระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ที่ตัวเรา ให้อยู่ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของจะได้ศักยภาพทั้งหมด
อำนาจหน้าที่การงาน คุณสมบัติ ประวัติศาสตร์ สิ่งต่างๆ เกิดจากการเกิดนี้ทั้งหมดเลย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนที่นี่ มาชำระกันที่นี่ มันถึงมีความสุขจริงที่นี่ อันนี้ถึงเป็นความจริง นี่ความที่เป็นชีวิตเรายังนั่งอยู่ มีลมหายใจเข้าออก อันนี้ประเสริฐมาก แล้วค้นคว้าอันนี้ ค้นกลับมาหาตัวเรา แล้วเอาชนะตัวเราประเสริฐที่สุด เอวัง